10/5/2550
12.20 น.
"ฝนพรำ การเดินทาง พัทยา และคนธรรมดา" ตอนที่ 3
วันนี้ฟ้าหม่น เป็นสีออกเทาๆ ดูแล้วเศร้าใจจัง บรรยาการก็ชวนให้ขี้เกียจ
จนไม่อยากจะทำอะไรเลยซักอย่าง แต่ก็ไม่ได้อ่ะนะ เพราะยังไงก็ยังต้องกินข้าว
เที่ยงกว่าๆ นาฬิกาชีวิตเริ่มทำงาน ร้องครวญครางโครกครากแสดงความหิว
เหมือนกับจะพยายามออดอ้อนให้ออกไปกินข้าวได้แล้ว
หลังจากแวบไปเคลียร์งานที่แสนจะวุ่นวายแล้วก็สั่งเพื่อนๆซื้อข้าวเพราะขี้เกียจออกไป
แล้วก็มานั่งอ่านการ์ตูนต่ออีกเล็กน้อย กะว่าจะนั่งเขียนบันทึกต่อให้จบ
แต่ข้าวกลางวันมาแล้วไปกินก่อนดีกว่า
ตื่นจากการนอนแบบกินบ้านกินเมืองและอาบน้ำเรียบร้อย
ก็ล่ำลาเพื่อนๆ และออกจากที่พักมาพร้อมกับพี่เก้ง วันนี้ตัวใครตัวมัน
เพื่อนคนอื่นๆยังนอนอยู่ พี่เก้งก็จะกลับไปบ้านที่ชลบุรี
ผมเองนัดกับน้องไว้ว่าจะไปเกาะล้านแต่น้องๆก็ยกเลิก
ก็เลยไปนั่งเตียงผ้าใบริมหาดเล่นๆค่าเวลาแหมช่างแสนสบายใจกันจริงๆ
เหลือกันไม่กี่นาง มีน้องเจ น้องต้อง น้องพลอย น้องแพร น้องหวาน
แอบมองน้องๆเหลือบไปเห็นลวดลายประหลาดที่ข้อมือน้องเจ
เราก็เรียกไม่ถูกไม่รู้ว่ามันคืออะไรเท่ดี แต่ถ้าให้ทำก็ไม่เอาเหมือนกันไม่รู้ทำไม
กินน้ำ กินหนม กินลมชมวิวกันไปซักพักก็เลยชวนไปนั่งกินไอติมที่สเวนเซ่น
ติดค้างกับน้องหวานไว้ตั้งนานแล้วเพราะสัญญาไว้ว่าถ้าได้งานทำจะพาไปเลี้ยงติม
เข้าไปนั่งรอนานมากๆสงสัยคนจะเยอะหรือเราหน้าตาไม่ดีพอกันแน่นะ
เค้าเลยไม่ค่อยจะสนใจดูแล แอบส่งตาหวานไปให้น้องพนักงานเสริฟก็หลายครั้ง
ถ้าเป็นปลากัดคงออกลูกแฝดไปแล้ว แหมไปว่าเค้า ยังดีเค้ายังยิ้มให้
ซักพักก็ได้สั่งไอติมซะที แต่ไอติมที่นี่หวานชะมัด สั่งไอติมข้าวเหนียวมะม่วงไปด้วยสิหวานมาก
แต่ดีใจเห็นน้องๆมีความสุขกับไอติม ชอบดูคนกินอย่างมีความสุข
จำได้ว่าเคยพาน้องสาวไปกินขนมเค้ก ดูเค้ามีความสุขกับขนมเค้กมากๆเลยน่ารักดี
แต่พอเราขอชิมก็ไม่เห็นมันจะอร่อยเลิศซักแค่ไหน อืมแปลกใจจริงๆ
เสร็จจากการรับประทานไอติมกันเสร็จก็เข้าไปเดินเล่นที่ Royal gaden ในที่สุดก็รู้ชื่อเต็ม
น้องพลอยอยากลองเข้าบ้านผีเพราะเมื่อครั้งที่แล้วกลับกันก่อน
ครั้งนี้ก็เลยเข้าเป็นเพื่อนน้องเค้าอีก 1 รอบ แต่เอ๊ะทำไมรู้สึกใจเต้นตุบๆ
จัดการซื้อตั๋วแล้วก็ยืนรอเข้าคิวโดยน้องคนอื่นยืนรอกันอยู่ด้านนอก
วันนี้คนเยอะกลุ่มผมก็ค่อนข้างเยอะจนจับเชือกไม่ได้ แถมได้อยู่คนสุดท้ายอีกแล้ว เบื่อจัง
ก็เลยแกล้งหลอนชาวบ้านไปตลอดทาง เหอๆ หลอกคนมันสนุกแบบนี้นี่เอง
ไว้ตกงานเมื่อไหร่จะมาสมัครเป็นผีคงจะดีเหมือนกัน
วันนี้บ้านผีครึกครื้นมาก มีพี่ผี อยู่เกือบทุกระยะคนที่กลัวก็แทบหายใจกันไม่ทัน
น้องสาวของเราก็ก้มหน้างุดๆ ไปตลอดทางเช่นกัน
แล้วก็มาถึง ทางออกที่มีพี่ผีถือเลื่อยกะว่าจะวิ่งไล่ตามผีซะหน่อย
แต่น้องๆกลุ่มหลังตามมาทันพอดีพี่ผีเลยไม่ยอมออกมา
ทริปนี้ช่วงหลังเปลืองตัวมากๆคับ น้องกลุ่มหลังไม่รู้จะกลัวอะไรกันนักหนา
เอะอะๆ ก็เข้ามาจับแขนดึงเสื้อเราตลอดเลย 555 (ไม่รู้จะด่าตัวเองว่าไงดี ไอ่....หน้าตาดีเอ๊ย)
ออกมาถึงทางออกน้องกลุ่มหลังคงเห็นความจริง ก็เลยทำหน้าแหย แล้วเดินหายไปในพริบตา
จากบ้านผีเราก็ลงมาถ่ายรูปกันที่ลานน้ำพุ ช่างคิดกันจริงๆ
ถ่ายรูปเสร็จก็เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ จนเย็นมากน้องแพรก็เลยขอตัวกลับก่อน
ก็เหลือกันอยู่ 1 หนุ่มกับ 3 สาว นั่งรอรถกันอยู่ริมหาด แล้วก็ถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย
นั่งดูเจ๊อีกกลุ่มนึงที่อยู่แถวนั้น คนอาไร๊ อารมณ์ดีไร้ขอบเขตจริงๆ
จนกระทั่งรถตู้มารับ ก็ได้เวลากลับซะที
ได้นั่งรถรอบหาดจอมเทียนกันอีก 1 รอบก่อนกลับ
เพราะพี่รถตู้เค้าต้องรับคนอื่นด้วย และแล้วก็หมดภาระกิจที่พัทยา สนุกปนเหนื่อย
แต่ยังคับยังไม่จบ นั่งรถมาได้เรื่อยๆ พยายามจะหลับแต่หลับไม่ลง
นั่งใกล้คนหน้าตาดี 4 คนแล้วหวั่นไหว เลยนอนไม่หลับ
แถมพอฟ้าเริ่มมืดอารมณ์ศิลปินก็เริ่มมาคับเริ่มฟุ้ง
นั่งคิดอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างจนมาถึงเรื่องที่น้องๆเล่าว่าตอนอยู่มหาลัย
ต้องมีการแกล้งบีบน้ำตาด้วยยากมาก เราก็สงสัยว่าจะยากจริงมั้ย
ก็เลยลองร้องไห้ดูบ้าง นั่งนึกเรื่องที่เศร้าที่สุดในชีวิต เรื่องอะไรดีล่ะ
คิดไม่ออก ชักยากแล้วแฮะ ลองคิดว่าตัวเองเป็นโกโบริแล้วกำลังต้องตายจากอังศุมาริน
เฮ้อกลายเป็นจะขำไปซะงั้น สรุปว่า ยากมากๆ ก็เลยนั่งหลับตามาเรื่อยๆกะว่าจะให้หลับๆไปซะ
จะได้ไม่ฟุ้งมาก ดันมาถึงกรุงเทพพอดีซะอีก เป็นอันว่าทำไม่ได้
มาถึงกรุงเทพนั่นแน่ น้องพลอยของเราชวนไปกินสุกี้หน้าดีฟที่แถวข้าวสาร
ไปก็ไปหิวพอดี แต่ก็ยังไม่เข้าใจทำไมต้องไปถึงข้าวสารนะ
นั่งรถแท็กซี่กันไปเลย 4 คนรวมพี่คนขับเป็น 5 คน(จะรวมทำไมเนี่ย)
พลอยนั่งหน้า ที่เหลือนั่งหลังหมด ยกเว้นโชเฟอร์นะ(ไหนๆก็ไหนๆเล่นอีกที)
ระหว่างทางพลอยก็คุยโทรศัพท์ไป ข้างหลังก็เมากัญญาชากันไป
หัวเราะ(อาการของพลอย)กันจนสุดทางเลยว่างั้น
ถึงข้าวสารก็พากันลงไปยังร้านสุกี้ สั่งกินกันคนละกะทะ ก็อร่อยดีเหมือนกันคับ
ไม่รู้อร่อยอยู่แล้วหรือเพราะนั่งรถไกลหิวเลยเกิดจะอร่อยขึ้นมา
กินกันไปคนละจาน ไม่สิ คนละกะทะ ถ้าเป็นน้ำจะใส่ถ้วยถ้าแห้งจะเป็นกะทะ
วันหลังน่าลองสั่งแบบน้ำแล้วใส่กะทะดู 555
กินหมดแล้วก็ได้เวลาแยกย้ายกันกลับบ้าน
เป็นอันว่าทริปการเดินทางของผมในสุดสัปดาห์นี้ก็สิ้นสุดลงซะที
นั่งมองผ่านกระจกข้างรถไปเรื่อยๆ ไอเย็นจากภายในตัวรถทำให้เกิดฝ้าขึ้นเล็กน้อย
สายฝนก็ยังคงโปรยปรายลงมาไม่ต่างจากวันก่อน
เคยได้ยินคำพูดที่ว่า คนที่เหมือนๆกัน มักจะดึงดูดให้มาเจอกัน
แล้วเราเหมือนคนอื่นๆตรงไหนกันนะ คิดเท่าไรก็ไม่ออกเพราะคำตอบที่ออกมา
ก็ไม่พ้นคำว่า "ผู้ชายธรรมดา"
19/5/2550
12.25 น.
"ยามพระพายพริ้วแผ่วกรายกราวใบมะพร้าวล้อลม"
ได้หูฟังมาใหม่ เป็นหูฟังที่ไปยึดจากชาวบ้านมา
เพราะหูฟังของผมหมดอายุไปนานแล้ว
ก็เลยได้ไปค้นเครื่องขุดเอาเพลงเก่าๆมาฟังเจอเพลงที่ชอบอยู่หลายเพลง
อยู่ในโลกส่วนตัว นั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆ ไม่สนใจใครเลย สบายใจดีจัง
นั่งฟังไปเรื่อยๆแล้วก็อยากให้คนอื่นได้ฟังเพลงที่เราชอบบ้าง
กะว่าจะเอาไปลงในสเปซเผื่อจะมีใครเข้าไปดู
แต่ทำไม่เป็นเข้าไปนั่งงมอยู่วันกว่าๆ สรุปว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า
ก็เลยถามน้องสาวว่าทำเป็นมั้ยทำยังไงเหรอ
น้องก็อธิบายดีนะ แต่สงสัยผมจะไม่เข้าใจเอง เฮ้อ พวกตื่นเทคโนโลยี
ความเดิมจากตอนที่แล้วที่เพลงปล่อยวางได้ถูกเปิดออกอากาศครั้งแรก
โอ้ว ไม่น่าเชื่อ เพลงนี้มันช่างไพเราะเสนาะโสต ของเค้าดีจริงๆ
นั่นหมายถึงพวกเค้าจะได้ไปร่วมในงาน Sunshine Music Aword เยๆ
ที่จะมีนักดนตรีจากทั่วภาคตะวันออก ไปรวมตัวกันแล้วคัดไปเล่นในวันจริง 10 วง
ซึ่งเงื่อนไขการเล่นรอบแรกจะต้องเล่น 2 เพลง เพลงอะไรก็ได้ 1 เพลง
เพลงพระราชนิพนธ์ 1 เพลง โจทย์มาแบบนี้ก็เข้าทางเพลย์กราวด์เลยน่ะสิคับ
เพราะมีเพลงพระราชนิพนธ์ ใกล้รุ่ง เป็นเพลงหากินอยู่แล้ว
ส่วนอีกเพลงก็ปล่อยวางแน่นอนไม่มีปัญหา แต่ครั้นจะเอาเพลงพระราชนิพนธ์มาเล่นดิบๆดื้อเห็นจะไม่ดี
ก็เลยมาทำการเรียบเรียงเสียงประสานกันใหม่(ฟังดูหรูหราเนอะ)
รอบคัดเลือกรอบแรกจำได้ว่าทุกๆวงจะได้เล่นในโรงเบียร์ซึ่งน่าตื่นเต้นมากๆ เมามากด้วย
ก็เป็นอันว่าก่อนจะถึงวันที่จะต้องเล่นก็เป็นการซ้อมกันอย่างหนัก
และแล้วก็มาถึงวันงาน วันที่จะแสดงเพื่อคัดเลือกวงดนตรี 10 วงก็มาถึง
แต่ละวงก็ใช่ว่าจะธรรมดานะครับฝีมือดีกันทั้งนั้นเลย
จริงๆแล้ว สำหรับเพลย์กราวจะเล่นวันที่ 2 การคัดเลือกจะแบ่งเป็น 2 วัน
เพราะมีวงดนตรีที่เข้ารอบมาเยอะมาก 20 วงเห็นจะได้
แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึงเมื่อทีมงานเรียกให้เพลย์กราวด์ขึ้นไปเซตอุปกรณ์
และเชิญชวนให้ผู้ชมทั้งหลายได้รู้จักกับเพลย์กราวด์
เริ่มต้นอัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ ใกล้รุ่ง ที่เล่นด้วยทำนองพิเศษของเพลง กอซซิป
สร้างความคึกคักเปลี่ยนบรรยากาศในโรงเบียร์ให้มีชีวิตชีวามากขึ้น
จากนั้นก็ตามด้วยเพลงไม้ตาย ปล่อยวาง ที่ไม่ต้องบอกก็คงรู้ถึงพิษสง
การแสดงรอบคัดเลือกจบลงด้วยคำกล่าวปิดท้ายของพิธีกรที่ว่า
วงนี้นักร้องเต็นได้มันส์จริง
เหมือนกับสายลมจากท้องทะเลที่พัดมากระทบใบมะพร้าว
ให้กรีดกรายไปตามแรงลมไหวอย่างสวยงาม จนดึงดูดให้ผู้คนที่พบเห็นต้องเหลียวมามอง
ด้วยแรงดึงดูดอันน่ามหัศจรรย์ของลมทะเล
______________________
โปรดติดตามตอนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น